“ฟ้องเรียกค่าค่าส่วนกลาง/ค่าบริการสาธารณูปโภคและปัญหาอายุความ”
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 332/2568 (ประชุมใหญ่) ซึ่งเกี่ยวกับการเรียก “ค่าส่วนกลาง/ค่าบริการสาธารณูปโภค และปัญหาอายุความ”
คดีนี้โจทก์เป็นผู้ประกอบการจัดสรรหรือโครงการที่เรียกเก็บค่าบริการสาธารณูปโภค/ค่าส่วนกลาง จากจำเลยตามโครงการจัดสรร/อาคารชุด ในช่วงปี 2553 ถึง 2562. จำเลยให้การว่า การฟ้องของโจทก์นั้น “เกินกว่า 5 ปี” ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.) มาตรา 193/33 (4) แล้ว จึงอ้างว่าสิทธิเรียกร้องนั้นขาดอายุความ. สรุปคือมีข้อพิพาทว่า “อายุความ” สำหรับการเรียกค่าส่วนกลางนี้ควรกำหนดไว้ที่กี่ปี.
ศาลประชุมใหญ่วินิจฉัยว่า หนี้ค่าบริการสาธารณูปโภค/ค่าส่วนกลาง ซึ่งเป็นการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการจัดสรรฯ ถือเป็น “บริการส่วนหนึ่งของโครงการพิพาทที่มีผลต่อการประกอบธุรกิจ” ซึ่งจัดอยู่ในลักษณะ “ผู้ประกอบการค้า” โดยเป็นการดำเนินการประจำ (ปกติ) เพื่อหวังผลกำไรในทางการค้า. ดังนั้น สิทธิเรียกร้องดังกล่าวจึงอยู่ภายใต้กฎอายุความตาม มาตรา 193/34 (1) ของ ป.พ.พ. — ซึ่งกำหนดอายุความ 2 ปี.
ศาลยังวินิจฉัยว่า ในคดีผู้บริโภคนั้น (เมื่อมีลักษณะเป็นคดีผู้บริโภคตาม พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 7) หากจำเลยจะอ้าง “ขาดอายุความ” จำเลยต้องยกอายุความเป็นข้อโต้แย้งในคำให้การไว้ (ไม่ใช่ศาลจะยกขึ้นเองโดยอัตโนมัติ) ตามมาตรา 26 ของ พ.ร.บ.คดีผู้บริโภค.
ประเด็นที่สำคัญ:
สิทธิเรียกร้องนั้นไม่ใช่หนี้ที่ “กฎหมายไม่ได้กำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะ” (ซึ่งตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/30 ใช้อายุความ 10 ปี) แต่เป็นสิทธิเรียกร้องที่มีกำหนดอายุความโดยเฉพาะในมาตรา 193/34(1) ซึ่งคือ 2 ปี
ดังนั้น หากพ้นจาก 2 ปี หรือไม่ได้ดำเนินคดีภายในช่วงเวลาที่กฎหมายกำหนด อาจถือว่า “ขาดอายุความ”
- ข้อสรุป
นิติบุคคลอาคารชุด / โครงการจัดสรร และมีการเรียกเก็บค่าส่วนกลาง/ค่าบริการสาธารณูปโภคจากเจ้าของร่วม/ลูกบ้าน: ต้องตรวจดูว่า ฟ้องภายใน 2 ปี นับตั้งแต่วันที่สิทธิเกิดขึ้น (ตามมาตรา 193/34(1))
หากฟ้องหลังจาก 2 ปี อาจโดนอ้าง “ขาดอายุความ” และสิทธิเรียกร้องอาจถูกปฏิเสธได้ จำไว้ว่าจำเลยต้องยกประเด็นอายุความไว้ในคำให้การ มิใช่ปล่อยให้ศาลยกเองโดยอัตโนมัติ
